
ในความถูกต้องที่สมเหตุผลของคัมภีร์ไบเบิ้ลนั้น ไม่มีสักประโยค หรือคำหนึ่งที่กล่าวพาดพิงถึงท่านนบีมูฮัมมัด (ซ.ล.) อิสลามทุกคนมีความหวังว่าน่าจะมีชื่อมูฮัมมัดปรากฏอยู่ในคัมภีร์ของยิว หรือ คริสต์
ซูเราะฮ์อัลอะอ์รอฟ อายะฮ์ที่ 157
ซูเราะฮ์อัลอะอ์รอฟ อายะฮ์ที่ 157

คือบรรดาผู้ปฏิบัติตามร่อซู้ล (มูฮัมมัด) ผู้เป็นนบีที่เขียนอ่านไม่เป็นที่พวกเขา (ยะฮูดี และนัศรอนีย์) พบเขาถูกจารึกไว้ ณ ที่พวกเขา ทั้งในอัตเตาร็อต และในอัลอินญีล โดยที่เขา (มูฮัมมัด) จะใช้พวกเขาให้กระทำในสิ่งที่ชอบ และห้ามพวกเขามิให้กระทำในสิ่งที่ไม่ชอบ และขออนุมัติให้แก่พวกเขาซึ่งสิ่งดีๆ ทั้งหลาย และจะให้เป็นที่ต้องห้ามแก่พวกเขา ซึ่งสิ่งที่เลวร้ายทั้งหลาย และจะปลดเปลื้องออกจากพวกเขา ซึ่งภาระหนักของพวกเขา และห่วงคอ (บัญญัติศาสนาที่กำหนด) ที่ปรากฏอยู่บนพวกเขา ดังนั้นบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อเขา และให้ความสำคัญแก่เขาและช่วยเหลือเขา และปฏิบัติตามแสงสว่างที่ถูกประทานลงมาแก่เขาแล้วไซร้ ชนเหล่านี้แหละคือบรรดาผู้ที่สำเร็จ
ซูเราะฮ์อัศศ็อฟ อายะฮ์ที่ 6
ซูเราะฮ์อัศศ็อฟ อายะฮ์ที่ 6

และจงรำลึกเมื่ออีซา อิบนุ มัรยัม ได้กล่าวว่า โอ้วงศ์วานของอิสราเอลเอ๋ย แท้จริงฉันเป็นร่อซู้ลของอัลลอฮ์มายังพวกท่าน เป็นผู้ยืนยันสิ่งที่มีอยู่ในเตาร็อต ก่อนหน้าฉัน และเป็นผู้แจ้งข่าวดีถึงร่อซู้ลคนหนึ่ง ผู้จะมาภายหลังฉัน ชื่อของเขาคือ “อะฮ์หมัด” ครั้นเมื่อเขา (อะฮ์หมัด) ได้มายังพวกท่านพร้อมด้วยหลักฐานอันชัดแจ้งแล้ว พวกท่านกล่าวว่านี่คือมายากลแท้ๆ
พี่น้องมุสลิมจำนวนไม่น้อยที่รู้. . . . . .ได้ศึกษาค้นคว้าต้นฉบับของไบเบิ้ล หลังจากพ้นสมัยของท่านนบีมูฮัมมัด เพราะฉะนั้นที่กล่าวว่าไบเบิ้ลเปลี่ยนแปลงโยกย้ายถ่ายโอนชื่อของท่านนบีมูฮัมมัดนั้นจึงไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด แต่พวกเขาก็พยายามค้นคว้ากันต่อไป ไม่มีการกล่าวถึงชื่อของมูฮัมมัด จุดนี้เองที่ทำให้มุสลิมเกิดความสงสัยเช่นกัน ดังนั้นเพื่อเป็นการยืนยันถึงชื่อของท่านนบีมูฮัมมัด และพันธกิจต่อมวลมนุษยชาติ การที่รวมผู้ที่ติดตามท่านอีซาเข้ามาด้วยจะทำให้อิสลามสมบูรณ์ที่สุด ในอัลกุรอ่านที่ยกมานี้ ท่านอีซายังได้กล่าวกับสาวกของท่านถึงการมาของ “อะฮ์หมัด” นักศาสนศาสตร์ของอิสลามท่านหนึ่งได้ค้นคว้าหาชื่อมูฮัมมัดในไบเบิ้ล ซึ่งชื่อนั้นมีปรากฏใน คัมภีร์อินญีล ฉบับของยะฮ์ยา เกี่ยวกับวิญญาณบริสุทธิ์ในความเป็นร่อซู้ลของท่านศาสดามูฮัมมัด บทที่ 14 ข้อ 16 บทที่ 15 ข้อ 26 บทที่ 16 ข้อ 7
เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน เพื่อจะได้อยู่กับท่านตลอดไป. . . . . . แต่เมื่อองค์พระผู้ช่วยที่เราจะใช้มา จากพระบิดาหาท่านทั้งหลาย คือพระวิญญาณแห่งความจริง ผู้ทรงมาจากพระบิดานั้นได้เสด็จมาแล้ว พระองค์ก็จะทรงเป็นพยานให้แก่เรา. . . . . อย่างไรก็ตามเราจะบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลาย คือการที่เราจากไปนั้น ก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป องค์พระผู้ช่วยก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน
จากภาษากรีกซึ่งเป็นภาษาดั้งเดิม คำว่า “PARAKLETOS” ในคำเหล่านี้มีความหมายก็คือ “สมควรที่จะสรรเสริญ” ซึ่งมุสลิมได้โต้แย้งว่ากรีกภาษาเดิมนั้นเขียนผิดพลาดไปจากคำเดิม ซึ่งคำเดิมนั้นควรจะเป็น“PERIKLUTOS” ซึ่งคำนี้แปลความหมายคือ “อะฮ์หมัด” หมายถึง “ผู้ได้คืน” “ผู้นำความผาสุก”“ผู้ว่าความ” “ที่ปรึกษา” จากคำว่า “อะฮ์หมัด” หรือ “มูฮัมมัด” มีความหมายที่ต่างกัน แต่ชื่อมูฮัมมัดคือชื่อที่ถูกต้อง หมายถึง “ผู้ซึ่งน่าสรรเสริญ” ส่วนคำว่า “อะฮ์หมัด” หมายถึง “สมควรที่จะสรรเสริญ” ดังนั้นคำว่า “อะฮ์หมัด”ไม่ได้ใช้เป็นชื่อเฉพาะมาก่อนที่ท่านนบีมูฮัมมัดจะมาเกิด นี่คือเหตุผลว่าเหตุใดเราจึงไม่พบชื่อ “อะฮ์หมัด” ปรากฏในอัลกุรอ่าน แต่เราพบชื่อ “มูฮัมมัด”ซึ่งเป็นชื่อถูกต้อง จากยะฮ์ยาที่ยกมาได้กล่าวถึงคำว่า “PARAKLETOS” คือวิญญาณแห่งความจริง ซึ่งโลกนี้ไม่สามารถพบเห็นได้ แต่ว่าได้สถิตย์อยู่ในใจของผู้เชื่อและจะเป็นพยานถึงท่านอีซา วิญญาณนี้เสมือนหนึ่งผู้ซึ่งท่านอีซาได้บอกกับสาวกของท่านว่า “แต่ท่านทั้งหลาย จะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดชเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก” มีปรากฏในอินญีล กิจการของอัครทูต บทที่ 1 ข้อ 8
ประมาณ 50 วันหลังจากที่Adonaiได้รับท่านอีซาไป สัญญาแห่งวิญญาณบริสุทธิ์ก็เติมเต็มในชีวิตของสาวกของท่าน เรื่องมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นใน วันเพ็นเทคอสต์ ผู้ที่บันทึกเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่นี้คือ เปโตร สาวกผู้หนึ่งที่ได้ติดตามท่านอีซา ”มีปรากฏในอินญีล กิจการของอัครทูต บทที่ 2 ข้อ 32-33
อีซานี้Adonaiได้ทรงบันดาลให้ชีวิตกลับคืนแล้ว ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นพยานในข้อนี้เหตุฉะนั้นเมื่อทรงเชิดชูท่านขึ้นอยู่ที่พระหัตถ์เบื้องขวาของAdonai และครั้นที่ท่านได้รับวิญญาณบริสุทธิ์ จากพระบิดาตามพระสัญญา ท่านอีซาได้เทฤทธิ์เดชลงมา ดังที่ท่านทั้งหลายได้ยิน และได้เห็นแล้ว
จากคัมภีร์ตอนนี้ความหมายของคำว่า “PARAKLETOS” คือ วิญญาณบริสุทธิ์ของAdonaiไม่เคยสถิตย์อยู่กับมนุษย์ผู้ใด ยิ่งกว่านั้น “PARAKLETOS” นี้ท่านอีซายังได้บอกกล่าวกับสาวกว่า พระบิดาสัญญาจะประทานให้ในขณะที่พวกสาวกยังมีชีวิตอยู่ . . . . หลังจากที่บรรดาสาวกของท่านอีซาเสียชีวิตลงห่างกันกว่า 500ปี ท่านนบีมูฮัมมัดจึงมาเกิด มุสลิมจึงต้องค้นคว้าให้ละเอียดในคัมภีร์เตาร็อต ที่ทรงประทานให้กับนบีมูซา เป็นไปได้ที่จะพบหลักฐานเกี่ยวกับท่านนบีมูฮัมมัดดังที่พบใน เตาร็อตเฉลยธรรมบัญญัติ บทที่ 18 ข้อ 15 ว่า
พระเยโฮวาฮ์ Adonaiของท่านจะโปรดให้ผู้เผยพระวจนะ อย่างข้าพเจ้านี้เกิดขึ้นในหมู่พวกท่าน จากพี่น้องของท่าน ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังเขา
มุสลิมส่วนมากเชื่อกันว่าเมื่อสิ้นยุคของนบีมูซาแล้ว นบีคนต่อไปที่มีคุณสมบัติเหมือนนบีมูซาก็คือนบีมูฮัมมัด
พี่น้องมุสลิมจำนวนไม่น้อยที่รู้. . . . . .ได้ศึกษาค้นคว้าต้นฉบับของไบเบิ้ล หลังจากพ้นสมัยของท่านนบีมูฮัมมัด เพราะฉะนั้นที่กล่าวว่าไบเบิ้ลเปลี่ยนแปลงโยกย้ายถ่ายโอนชื่อของท่านนบีมูฮัมมัดนั้นจึงไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด แต่พวกเขาก็พยายามค้นคว้ากันต่อไป ไม่มีการกล่าวถึงชื่อของมูฮัมมัด จุดนี้เองที่ทำให้มุสลิมเกิดความสงสัยเช่นกัน ดังนั้นเพื่อเป็นการยืนยันถึงชื่อของท่านนบีมูฮัมมัด และพันธกิจต่อมวลมนุษยชาติ การที่รวมผู้ที่ติดตามท่านอีซาเข้ามาด้วยจะทำให้อิสลามสมบูรณ์ที่สุด ในอัลกุรอ่านที่ยกมานี้ ท่านอีซายังได้กล่าวกับสาวกของท่านถึงการมาของ “อะฮ์หมัด” นักศาสนศาสตร์ของอิสลามท่านหนึ่งได้ค้นคว้าหาชื่อมูฮัมมัดในไบเบิ้ล ซึ่งชื่อนั้นมีปรากฏใน คัมภีร์อินญีล ฉบับของยะฮ์ยา เกี่ยวกับวิญญาณบริสุทธิ์ในความเป็นร่อซู้ลของท่านศาสดามูฮัมมัด บทที่ 14 ข้อ 16 บทที่ 15 ข้อ 26 บทที่ 16 ข้อ 7
เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน เพื่อจะได้อยู่กับท่านตลอดไป. . . . . . แต่เมื่อองค์พระผู้ช่วยที่เราจะใช้มา จากพระบิดาหาท่านทั้งหลาย คือพระวิญญาณแห่งความจริง ผู้ทรงมาจากพระบิดานั้นได้เสด็จมาแล้ว พระองค์ก็จะทรงเป็นพยานให้แก่เรา. . . . . อย่างไรก็ตามเราจะบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลาย คือการที่เราจากไปนั้น ก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป องค์พระผู้ช่วยก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน
จากภาษากรีกซึ่งเป็นภาษาดั้งเดิม คำว่า “PARAKLETOS” ในคำเหล่านี้มีความหมายก็คือ “สมควรที่จะสรรเสริญ” ซึ่งมุสลิมได้โต้แย้งว่ากรีกภาษาเดิมนั้นเขียนผิดพลาดไปจากคำเดิม ซึ่งคำเดิมนั้นควรจะเป็น“PERIKLUTOS” ซึ่งคำนี้แปลความหมายคือ “อะฮ์หมัด” หมายถึง “ผู้ได้คืน” “ผู้นำความผาสุก”“ผู้ว่าความ” “ที่ปรึกษา” จากคำว่า “อะฮ์หมัด” หรือ “มูฮัมมัด” มีความหมายที่ต่างกัน แต่ชื่อมูฮัมมัดคือชื่อที่ถูกต้อง หมายถึง “ผู้ซึ่งน่าสรรเสริญ” ส่วนคำว่า “อะฮ์หมัด” หมายถึง “สมควรที่จะสรรเสริญ” ดังนั้นคำว่า “อะฮ์หมัด”ไม่ได้ใช้เป็นชื่อเฉพาะมาก่อนที่ท่านนบีมูฮัมมัดจะมาเกิด นี่คือเหตุผลว่าเหตุใดเราจึงไม่พบชื่อ “อะฮ์หมัด” ปรากฏในอัลกุรอ่าน แต่เราพบชื่อ “มูฮัมมัด”ซึ่งเป็นชื่อถูกต้อง จากยะฮ์ยาที่ยกมาได้กล่าวถึงคำว่า “PARAKLETOS” คือวิญญาณแห่งความจริง ซึ่งโลกนี้ไม่สามารถพบเห็นได้ แต่ว่าได้สถิตย์อยู่ในใจของผู้เชื่อและจะเป็นพยานถึงท่านอีซา วิญญาณนี้เสมือนหนึ่งผู้ซึ่งท่านอีซาได้บอกกับสาวกของท่านว่า “แต่ท่านทั้งหลาย จะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดชเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก” มีปรากฏในอินญีล กิจการของอัครทูต บทที่ 1 ข้อ 8
ประมาณ 50 วันหลังจากที่Adonaiได้รับท่านอีซาไป สัญญาแห่งวิญญาณบริสุทธิ์ก็เติมเต็มในชีวิตของสาวกของท่าน เรื่องมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นใน วันเพ็นเทคอสต์ ผู้ที่บันทึกเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่นี้คือ เปโตร สาวกผู้หนึ่งที่ได้ติดตามท่านอีซา ”มีปรากฏในอินญีล กิจการของอัครทูต บทที่ 2 ข้อ 32-33
อีซานี้Adonaiได้ทรงบันดาลให้ชีวิตกลับคืนแล้ว ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นพยานในข้อนี้เหตุฉะนั้นเมื่อทรงเชิดชูท่านขึ้นอยู่ที่พระหัตถ์เบื้องขวาของAdonai และครั้นที่ท่านได้รับวิญญาณบริสุทธิ์ จากพระบิดาตามพระสัญญา ท่านอีซาได้เทฤทธิ์เดชลงมา ดังที่ท่านทั้งหลายได้ยิน และได้เห็นแล้ว
จากคัมภีร์ตอนนี้ความหมายของคำว่า “PARAKLETOS” คือ วิญญาณบริสุทธิ์ของAdonaiไม่เคยสถิตย์อยู่กับมนุษย์ผู้ใด ยิ่งกว่านั้น “PARAKLETOS” นี้ท่านอีซายังได้บอกกล่าวกับสาวกว่า พระบิดาสัญญาจะประทานให้ในขณะที่พวกสาวกยังมีชีวิตอยู่ . . . . หลังจากที่บรรดาสาวกของท่านอีซาเสียชีวิตลงห่างกันกว่า 500ปี ท่านนบีมูฮัมมัดจึงมาเกิด มุสลิมจึงต้องค้นคว้าให้ละเอียดในคัมภีร์เตาร็อต ที่ทรงประทานให้กับนบีมูซา เป็นไปได้ที่จะพบหลักฐานเกี่ยวกับท่านนบีมูฮัมมัดดังที่พบใน เตาร็อตเฉลยธรรมบัญญัติ บทที่ 18 ข้อ 15 ว่า
พระเยโฮวาฮ์ Adonaiของท่านจะโปรดให้ผู้เผยพระวจนะ อย่างข้าพเจ้านี้เกิดขึ้นในหมู่พวกท่าน จากพี่น้องของท่าน ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังเขา
มุสลิมส่วนมากเชื่อกันว่าเมื่อสิ้นยุคของนบีมูซาแล้ว นบีคนต่อไปที่มีคุณสมบัติเหมือนนบีมูซาก็คือนบีมูฮัมมัด

|

การกลับมาครั้งที่ 2 ของท่านอีซา
ท่านอีซาจะกลับมาครั้งที่สองเพื่อตัดสิน ทั้งคนเป็นและคนตาย การกลับมาของท่านอีซาในวันสุดท้าย เพื่อการตัดสินนั้น ยังเชื่อมความศรัทธาของมุสลิมด้วย 1. ฮะดิษบุคอรีย์ จากท่านอบู ฮูรอยเราะห์ เล่มที่ 11 หน้า 256 มีกล่าวไว้ว่า
“สถานภาพของท่านจะเป็นเช่นไร ถ้าบุตรของมัรยัมคือผู้สืบทอดความเป็นผู้นำและผู้บรรลุถึงAdonaiผู้เที่ยงแท้”
2. ฮะดิษจากท่านมุสนาด อิหม่าน อะฮ์หมัด อิบนุ ฮันบาล เล่มที่ 2 ฮะดิษ 240 และ 411
“ ในไม่ช้า... บุตรของมัรยัมจะมาปรากฏ โดยท่านเป็นผู้เผยแผ่และผู้พิพากษาที่ชอบธรรม”
3. นบีมูฮำหมัดเป็นอีกผู้หนึ่งที่ยืนยันถึงความมั่นใจว่าท่านอีซา อัลมะซีฮ์ บุตรของมัรยัมจะกลับมาอีกครั้ง ในฐานะที่เป็นผู้พิพากษาที่ชอบธรรม ท่านมูฮำหมัดกล่าวว่า ( ฮะดิษมุสลิม เล่ม 1 หน้า 76)"ด้วยพระนามของอัลเลาะห์โดยแท้จริงแล้วบุตรของมัรยัมเป็นผู้ทอดในฐานะที่เป็นผู้พิพากษาที่ชอบธรรม”
การอธิบายฮะดิษ ถึงการกลับมาครั้งที่สองของท่านอีซา ในวันสิ้นโลก คำว่า ( ภาษาอาหรับ) หมายถึง ท่านอีซาจะกลับมาครั้งที่สองไม่ใช่ในฐานะ นบี เท่านั้น แต่ท่านอีซาจะกลับมาครั้งที่สองพร้อมกับ “หนังสือชีวิต” ซึ่งในเล่มนั้นมีบันทึกไว้ว่าผู้ใดจะได้เข้าสวรรค์ หรือผู้ใดจะตกอยู่ในบึงไฟนรก ( ซูเราะห์ วิวรณ์ บทที่ 20 อายะฮ์ ที่ 11-15 ) ซึ่งในกรุอานมีหลายซูเราะห์ และหลายอายะฮ์ ที่ยืนยันชัดเจนว่า ผู้ที่ศรัทธาและติดตามท่านอีซาจะรอดจากไฟนรกในวันกิยามะฮ์ และท่านอีซาได้ยืนยัน ในคัมภีร์ อินญีล เช่นเดียวกัน ใน ซูเราะห์ ยอห์น บทที่ 5 อายะห์ที่ 24 ว่า
"เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าผู้ใดฟังคำของเราและไว้วางใจในพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา ผู้นั้นก็มีชีวิตนิรันดร์ และไม่ถูกพิพากษา แต่ได้ผ่านพ้นความตายไปสู่ชีวิตแ ล้ว”
ใน ซูเราะห์ กิจการอัครทูต บทที่ 1 อายะห์ที่ 11
“ชาวกาลิลีเอ๋ย เหตุไฉนท่านจึงเขม้นดูฟ้าสวรรค์ กับท่านอีซาผู้นี้ซึ่งรับไปยังสวรรค์นั้น จะกลับมาอีกเหมือนอย่างที่ท่านทั้งหลายได้เห็นท่านอีซาขึ้นไปยังสวรรค์นั้น”
ในซูเราะห์วิวรณ์ บทที่ 20 อายะห์ที่ 11-15
“ข้าพเจ้าในเห็นพระที่นั่งใหญ่สีขาว และได้เห็นผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้นเมื่อพระองค์ทรงปรากฏ แผ่นดินโลกและท้องฟ้าก็หายไป และไม่มีที่อยู่สำหรับแผ่นดินโลกและท้องฟ้าเลย ข้าพเจ้าได้เห็นบรรดาผู้ที่ตายแล้ว ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อยยืนอยู่หน้าพระที่นั่งนั้น และหนังสือต่างๆก็เปิดออก หนังสืออีกเล่มหนึ่งก็เปิดออกด้วยคือหนังสือชีวิต และผู้ที่ตายไปแล้วทั้งหมดก็ถูกพิพากษาตามข้อความที่จารึกไว้ในหนังสือเล่มนั้นและตามที่เขาได้กระทำ ทะเลก็ส่งคืนคนทั้งหลายที่ตายในทะเลความตายและ แดนมรณาก็ส่งคืนคนทั้งหลายที่อยู่ในแดนนั้น และคนทั้งหลายก็ถูกพิพากษาตามการกระทำของตนหมดทุกคน แล้วความตายและแดนมรณาก็ถูกผลักทิ้งลงไปในบึงไฟ บึงไฟนี้แหละเป็นความตายครั้งที่สอง และถ้าผู้ใดที่ไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือชีวิตผู้นั้นก็ถูกทิ้งลงไปในบึงไฟ”
ในคัมภีร์ อินญีลซูเราะห์ ยอห์น บทที่ 14 อายะห์ที่ 6-7 มีกล่าวไว้ว่า
“เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้ นอกจากมาทางเราแล้ว ท่าก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วยตั้งแต่นี้ไปท่านก็รู้จักพระองค์”

อุปสรรคของมุสลิมที่สนใจในท่านอีซา
มุสลิมส่วนใหญ่รู้สึกลำบากในการเปิดใจต่อท่านอีซา แต่เมื่อมุสลิมเปิดใจแล้ว เขาต้องเจออุปสรรคอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าใจยาก เมื่อเขาต้อนรับอีซาให้เป็นผู้ช่วยให้รอด พี่น้องมุสลิมรู้สึกผิดต่อคำสอนสำคัญที่สุดในศาสนาอิสลาม คือ ความเชื่อในเอกะของอัลลอฮฺ เขาเรียนมาตั้งแต่เด็กว่า ไม่มีพระอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ แล้วผู้นำศาสนาอิสลามสอนเขาตลอดว่า ถ้าประมาทในข้อนั้นไม่มีทางที่ได้รับการยกโทษ คนใดนับถือมนุษย์หรือพระอื่น ๆ ให้เปรียบAdonai นั่นเป็นบาปใหญ่ที่ยกโทษไม่ได้ (คัมภีร์อัลกุรอาน ซุเหราะฮฺ อัลอิมรอน (Al Imran) 116) ในอัลกุรอานเตือนอีกข้อหนึ่งว่า คนใดที่ละทิ้งความศรัทธาเดิม คนนั้นจะพินาศและจะอยู่นรกอย่างนิรันดร (ซุเหราะฮฺ อัลอิมรอน 90)
เมื่อพี่น้องมุสลิมเชื่อท่านอีซา เขาต้องสู้กับความศรัทธาใหม่ที่ขัดแย้งกันกับคำสอนในอิสลาม ความกดดันที่มาจากครอบครัวนั้นมีอยู่แล้ว แต่ยิ่งกว่านั้น มุสลิมที่เชื่อใหม่ต้องต่อสู้กับความกลัวที่มาจากคำสอนเตาฮีด (Tawhid) มันเป็นอุปสรรคใหญ่สำหรับมุสลิมที่อยากจะติดตามอีซา อุปสรรคเรื่องนั้น สิ่งที่พิเศษในอิสลาม ศาสนาอื่น ๆ นั้น เริ่มก่อนอีซามาในโลก ศาสนานั้นไม่มีคำสอนเกี่ยวข้องกับท่านอีซา แต่ศาสนาอิสลานนั้นเกิดขึ้นตอนที่ศาสนาคริสต์มีทั่วโลก เพราะฉะนั้นศาสนาอิสลามมีคำสอนที่ต่อต้านกับความเชื่อในท่านอีซา ตั้งแต่เป็นเด็กมุสลิมต้องฟังบ่อย ๆ ว่า อีซาไม่ได้เป็นAdonai อีซาเป็นแค่ นบีองค์หนึ่ง คำสอนเรื่องนั้นเป็นปัญหายากที่แก้เกือบไม่ได้ เมื่อมุสลิมอยากเชื่อท่านอีซา คำสอนเหล่านี้ที่เรียนมา จะเป็นอุปสรรค มุสลิมส่วนใหญ่ถือว่า คำสอนในอัลกุรอานนั้นคำสอนที่Adonaiทรงเปิดเผยกับมนุษย์เราโดยตรง แล้วบางข้อในอัลกุรอานบอกว่า อีซาไม่ใช่Adonai เพราะฉะนั้น เมื่อมุสลิมอยากจะเชื่อท่านอีซาซึ่งเป็นAdonaiที่ยอมรับสภาพเป็นมนุษย์เพื่อจะช่วยเรา เขาต้องสู้กับคำสอนเก่าที่เรียนมา เราต้องเข้าใจ สำหรับมุสลิมที่เชื่อใหม่ การที่จะเข้าใจในท่านอีซาว่า เป็นAdonaiที่รับสภาพป็นมนุษย์นั้นเข้าในยาก
บางคนบอกว่า ที่จะแก้ปัญหาข้อนี้ เราต้องวิจารณ์อัลกุรอานก่อน เพราะคำสอนอัลกุรอานกับ คำสอนคัมภีร์ไบเบิลไม่ตรงกัน เราไม่เชื่อว่า อัลกุรอานเป็นคัมภีร์ที่มาจากAdonai แต่ถ้าเราเริ่มคุยด้วยการปฏิเสธอัลกุรอาน มุสลิมเชื่อใหม่อาจสับสน เราต้องอธิบายว่า ทำไมอัลกุรอานมีปัญหาที่เป็นคัมภีร์ของAdonai ซึ่งเป็นเรื่องซับซ้อนมาก บางคนก็ไม่เห็นด้วยในวิธีการนี้ เขาคิดว่า คำสอนอัลกุรอานในเรืองท่านอีซายังเป็นช่องให้พี่น้องมุสลิมคิดได้ว่า ท่านอีซาเป็นAdonaiที่ใช้แบบเป็นมนุษย์ ตามหลักฐานของอัลกุรอาน ท่านอีซาเป็นมนุษย์ที่ไม่เหมือนใคร ทำไมอีซาเกิดมาจากAdonaiโดยตรง? แล้วมันมีความหมายพิเศษอย่างไร? มุสลิมบางคนอาจถามว่า ในประวัติศาสตร์มนุษย์มีอีกคนหนึ่งที่มาจากAdonaiโดยตรง คือ อาดัม แต่อีซากับอาดัมยังต่างกัน ซึ่งตอนที่Adonaiทรงสร้างอาดัม Adonaiยังใช้วัสดุ คือ ดิน แต่อีซาเกิดมาจากว่างเปล่า มาจากAdonaiโดยตรง แล้วหลายข้อในอัลกุรอานได้ยืนยันว่าท่านอีซาเป็นคนพิเศษ บางคนก็เลยถือว่า คัมภีร์อัลกุรอานจะเป็นตัวเชื่อม ทำให้พี่น้องมุสลิมเริ่มคิดว่า ท่านอีซาเป็นใคร
อย่างไรก็ตาม มุสลิมที่เรียนเตาฮีด(Tawhid) มาตั้งแต่เด็ก ๆ เข้าใจยากในหลักคำสอนที่ว่าท่านอีซาเป็นAdonaiที่ยอมเป็นมนุษย์ คนใดเชื่อว่า ท่านอีซาได้เปรียบเทียบกับAdonaiนั้น ไม่มีการยกโทษเลย มุสลิมหลายคนกลัวเรื่องนี้ ก็เป็นอุปสรรคในการศรัทธาท่านอีซาอย่างจริงจัง
แต่เราต้องเผชิญเรื่องนี้ เมื่อเราช่วยพี่น้องมุสลิมที่เข้ามาเป็นสาวกของท่านอีซา ถ้าไม่แก้ปัญหานี้ มุสลิมที่รับเชื่อจะไม่เติบโตขึ้นในฝ่ายจิตวิญญาณ และจะทุ่มเทในการติดตามอีซาได้ยาก เพราะความกลัวที่มาจาก คำสอนเตาฮีด ดึงเขาไม่ให้ไปข้างหน้า เพราะฉะนั้นเราต้องช่วยพี่น้องมุสลิมที่จะสู้ชนะกับเรื่องนี้ เพื่อจะช่วยในด้านนี้เราต้องทำอย่างไร? ถ้าเรามีความรู้ทางด้านคัมภีร์อัลกุรอาน ใช้หลาฐานจากคัมภีร์อัลกุรอานทำให้เขาเข้าใจว่า ท่านอีซาไม่เหมือนใคร หรือให้เขาศึกษาคัมภีร์อินญีล จะได้เข้าใจว่า ท่านอีซาเป็นใคร บางครั้งเขาต้องการการอัศจรรย์ที่จะชนะปัญหานี้ ซึ่งบางคนพบอีซาในฝัน บางคนสัมผัสอีซาอย่างชัดเจนโดยการรักษาโรคต่าง ๆ เมื่อเขาเข้าใจชัดเจนว่า ท่านอีซาเป็นAdonai เขาจะเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณ และเป็นสาวกของท่านอย่างจริงจัง เขาจะรู้จักAdonaiมากขึ้นด้วย

การรู้จักท่านอีซามากขึ้นสำหรับมุสลิมที่ศรัทธาในอีซา
ในประเทศไทยคริสเตียนส่วนใหญ่มาจากศาสนาพุทธ คริสตจักรก็เลยไม่รู้ว่า จะดูแลมุสลิมผู้รับเชื่อท่านอีซาและจะช่วยแก้ปัญหาที่เขาจะพบอย่างไร? เมื่อมุสลิมผู้รับเชื่อใหม่เข้าในคริสตจักร เขาคงจะเจอสภาพที่เขาไม่เข้าใจ เช่น คำศัพท์หลายคำที่ใช้ในคริสตจักรก็มาจากศาสนาพุทธ ก็เลยฟังเทศนาแต่สับสน โปรแกรมของนมัสการที่ใช้ในคริสตจักรตามแบบฝรั่ง ผู้ชายกับผู้หญิงนั่งด้วยกัน แต่งตัวของคนที่มาร่วมนมัสการดูไม่เหมาะตามสายตาของมุสลิม อาหารก็เป็นอุปสรรคสำหรับมุสลิมที่มานมัสการในคริสตจักร มุสลิมถือว่า อาหารที่มีเนื้อหมูเป็น “หารอม” (มลทิน) ซึ่งเป็นสิ่งสกปรก จานที่โดน(ถูกแตะต้อง)อาหารหมูก็ไม่สะอาด แต่คริสเตียนไม่เข้าใจเรื่องนี้ ก็เลยคริสตจักรเตรียมอาหารหมูหมูบ่อย สำหรับมุสลิมที่มาร่วมนมัสการในคริสตจักรก็รู้สึกไม่สะดวก
คริสเตียนส่วนใหญ่ไม่รู้สึกว่า จะช่วยพี่น้องที่มาจากศาสนาอิสลามอย่างไร เขาไม่มีความรู้เกี่ยวข้องกับความศรัทธาและการปฏิบัติของมุสลิม เขาไม่รู้ว่า เมื่อมุสลิมเชื่อท่านอีซา มุสลิมจะเจอปัญหาอะไรบ้าง คำเทศนาของผู้นำในคริสตจักรไม่ได้ช่วยแก้ข้อสงสัยที่มุสลิมสู้ในใจอยู่ ตั้งแต่เป็นเด็ก มุสลิมได้เรียนมาว่า ความบาปที่ใหญ่คือการยกมนุษย์ขึ้นเป็นAdonai เพราะฉะนั้น ในสายตามุสลิมการเคารพนับถือท่านอีซา(พระเยซูคริสต์)ที่เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าก็เป็นบาปใหญ่ สำหรับมุสลิมท่านอีซาเป็นนบีองค์หนึ่งที่ทำอัศจรรย์มากมายและเกิดมาแบบพิเศษ ซึ่งเกิดมาในโลกโดยไม่มีพ่อก็ยอมรับได้ แต่มันไม่ใด้หมายถึงอีซาเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และมุสลิมถือว่า คัมภีร์ไบเบิล (พระคัมภีร์)ของคริสเตียนถูกบิดเบือน คัมภีร์ของอิสลาม ซึ่งอัลกุรอานนั้นเป็นคัมภีร์ของAdonaiที่สมบูรณ์ที่สุด อัลกุรอานประกอบด้วยกับคำที่อัลลอฮฺพูดเท่านั้น แต่คัมภีร์ไบเบิลมีทั้งถ้อยคำของAdonaiและสิ่งที่มนุษย์เขียนเองด้วย ตามมาตรฐานของมุสลิมคัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่ผสมถ้อยคำของAdonaiกับถ้อยคำของมนุษย์ เพราะฉะนั้น คริสเตียนเราต้อศึกษาให้ดีและต้องสามารถยืนยันที่พระคัมภีร์เป็นคัมภีร์ที่มาจากAdonaiอย่างสมบูรณ์ มีอีกหลายข้อที่มุสลิมสงสัยและเป็นอุปสรรคในการตัดสินใจที่จะติดตามอีซาอย่างเต็มที่ แต่คริสเตียนเราไม่พร้อมที่จะช่วยให้ความกระจ่างในเรื่องเหล่านี้ เพราะฉะนั้นคริสเตียนเราต้องศึกษาที่จะช่วยแก้อุปสรรคเหล่านี้
ความเข้าใจผิดที่คริสเตียนมีต่อมุสลิมและศาสนาอิสลามก็เป็นอุปสรรคอีกอย่างหนึ่ง คริสเตียนไทยหลายคนไม่ชอบมุสลิม เขาคิดว่า มุสลิมเป็นพวกหัวรุนแรง เป็นพวกที่เข้ากับคนอื่นยาก คนไทยตามปกติมักคิดว่า มุสลิมเป็นพวกที่เห็นแก่ตัวและสร้างปัญหาในสังคม เพราะเหตุผลเช่นนี้ คริสเตียนไม่สนใจในการประกาศกับมุสลิม เขาคิดว่า การประกาศกับพี่น้องมุสลิมไม่เกิดผล มุสลิมคงไม่สนใจในเรื่องข่าวประเสริฐ ชาวพุทธก็ยังต้องการพระเยซูและการประกาศกับกลุ่มนี้ ง่ายกว่าและจะมีการตอบสนองของชาวพุทธมากกว่าหลายเท่า แต่ถ้าเราคิดอย่างนั้น เราเข้าใจผิดคำสั่งของพระเยซูคริสต์ในมัทธิว 28.19 ในข้อนี้ พระเยซูได้ทรงบัญชาเราว่า “จงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา” ในข้อนี้ พระเยซูได้สั่งชัดเจนว่า ต้องประกาศทุกชนชาติ ไม่ใช่ชนชาติที่ต้อนรับเราเท่านั้น และ กิจการ 1.8 ก็บอกชัดเจนอีกว่า “ท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก” เราต้องออกไปประกาศทุกกลุ่ม ไม่ว่ากลุ่มที่อยู่ในเยรูซาเล็มหรืออยู่ที่สุดปลายแผ่นดินโลกก็ตาม เราไม่มีสิทธิ์เลือก แต่ประกาศกับทุกกลุ่มที่เราพยามได้ คริสเตียนไทยก็เลยต้องรับผิดชอบพี่น้องมุสลิมในประเทศไทยด้วยการประกาศข่าวประเสริฐอย่างเต็มที่
มุสลิมที่รับเชื่อในท่านอีซาก็เป็นเหมือนเด็กทารกฝ่ายวิญญาณ เขาต้องการเลี้ยงให้เติบโตฝ่ายจิตวิญญาณเหมือนคริสเตียนทั่วไป พี่น้องที่มีความศรัทธาเดียวกันต้องดูแลเขาอย่างใกล้ชิด ในการเปลี่ยนชีวิตเก่าและเสริมสร้างชีวิตใหม่ที่เหมาะกับฐานะใหม่ในท่านอีซาก็ต้องใช้เวลา ความคิดและความเข้าใจแบบเก่าก็ต้องเปลี่ยนเช่นกัน เป้าหมายชีวิตก็ต้องเปลี่ยนแปลงตามแบบอย่างของท่านอีซาอัลมะซีห์ ถ้าเขาแต่งงานแล้วนั้น ชีวิตการแต่งงานก็ต้องดีขึ้น การอุทิศชีวิตต้องสอดคล้องกันกับคำสอนของท่านอีซา พี่น้องที่เชื่อท่านอีซามาก่อนก็ต้องติดตามให้ผู้เชื่อใหม่อยู่ในหนทางอย่างถูกต้อง หนุนใจผู้เชื่อใหม่ให้ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลซึ่งเป็นอาหารแห่งชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ หนุนใจให้คนเชื่อใหม่อยู่ในความสามัคคีธรรมกับกลุ่มที่มีความศรัทธาเดียวกัน ไปร่วมประชุมทุกอาทิตย์(หรือวันศุกร์)และร่วมมือให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ถ้าเขาไม่ได้อยู่ในกลุ่มหรือขาดความสามัคคีธรรมระหว่างพี่น้องที่ติดตามอีซาด้วยนั้น เขาคงจะไม่เติบโตได้เลยในฝ่ายจิตวิญญาณ หรืออาจหลงจากAdonaiและกลับไปทางเดิมก็ได้
ปัญหาในการเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณมาจากปัญหา 2 อย่างต่อไปนี้: ปัญหาแรก คือ เขาทำตัวที่สังคมอิสลามยอมรับไม่ได้ เขาอาจจะทิ้งทุกอย่างที่มุสลิมถือ มุสลิมที่เชื่อเหล่านั้นคงจะเจอความกดดันจากสังคมมุสลิม เพราะสังคมมุสลิมเข้าใจผิดว่า การเป็นคริสเตียนหมายถึง การทรยศพี่น้องมุสลิม ทิ้งทุกสิ่งที่สังคมมุสลิมถือ เป็นคริสเตียนแล้ว กินหมู หรือ ไปรวมนมัสการที่ใช้แบบมุสลิมยอมรับไม่ได้ ความจริงAdonaiของมุสลิมกับAdonaiในคัมภีร์ไบเบิลก็เป็นองค์เดียวกัน เพราะฉะนั้น เมื่อคนรับเชื่อความศรัทธาใหม่ในท่านอีซา เขาไม่ต้องทิ้งทั้งหมดในสิ่งที่เขาทำมาตอนเป็นมุสลิม วัฒนธรรมอิสลามส่วนที่คัมภีร์ไบเบิลยอมรับได้นั้นเขาเก็บต่อไปก็ได้ ในการสำแดงความศรัทธาใหม่ในท่านอีซา เขาต้องใช้สติปัญญา เขาจะได้มีโอกาสแนะนำข่าวประเสริฐกับครอบครัวของเขา
แล้วปัญหาอีกอย่างหนึ่ง คือ มุสลิมที่รับเชื่อใหม่อาจกลับไปทางเดิม ซึ่งกลับไปเป็นมุสลิม มันเกิดขึ้นได้เมื่อคนรับเชื่อใหม่ผิดหวังกับพี่น้องคริสเตียน เมื่อมุสลิมรับเชื่อท่านอีซา เขาคาดว่า ชีวิตของพี่น้องคริสเตียนก็สมบูรณ์ แต่เขาจะเห็นว่า คริสเตียนก็ไม่ต่างกันเท่าไร ผู้นำในคริสตจักรก็มีจุดอ่อนเหมือนคนทั่วไป คนติดตามอีซา ไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน มีหลายคณะในศาสนาคริสต์ มุสลิมอาจรู้สึกว่า ความศรัทธาในท่านอีซากับความศรัทธาในอิสลามไม่ต่างกัน เพราะการผิดหวังกับชีวิตคริสเตียนหรือคริสตจักร มุสลิมที่รับเชื่อมาแล้วก็กลับไปชีวิตแบบเดิม
มุสลิมที่เชื่อใหม่ต้องการการช่วยดูแลของพี่น้องทั้งหลายที่เชื่อมาก่อน เขาต้องเรียนรู้ในการเดินกับท่านอีซา และทั้งด้านชีวิตก็ต้องเปลี่ยนแปลง เขาต้องศึกษาพระวจะทุกวัน เขาต้องขยันในการรวมประชุมกับพี่น้อง เขาต้องรู้ว่า หน้าที่ของเขาในครอบครัวและพี่น้องของเขา ซึ่งเป็นพยานที่แนะนำข่าวประเสริฐ เขาต้องระวังในการแสดงความศรัทธาใหม่ในท่านอีซา ชีวิตใหม่ในพระคริสต์ไม่ต้องเป็นอุปสรรคในการประกาศกับพี่น้องของตัวเอง
มุสลิมหลายคนยังอยู่ในความกลัวที่จะตกนรก ไม่มีความมั่นใจที่พระองค์ทรงรับเขาให้ขึ้นสวรรค์ เขาต้องการข่าวประเสริฐมาก Adonaiทรงเตรียมทางที่ทุกคนสามารถขึ้นสวรรค์ได้ในท่านอีซา ที่จะประกาศข่าวประเสริฐกับพี่น้องมุสลิม คริสเตียนเราต้องทุ่มเทในการแนะนำข่าวประเสริฐอย่างเต็มที่ แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น เราต้องช่วยมุสลิมที่เชื่อในท่านอีซาด้วยวิธีที่เหมาะสมกับเขา นำเขาให้อยู่ในสังคมของมุสลิมและให้เป็นพยานกับครอบครัวและชุมชนของเขาด้วย เขาต้องเรียนรู้ที่จะเติบโตขึ้นในการรู้จักท่านอีซา เขาจะได้เป็นพยานในท่ามกลางพี่น้องของเขา เราต้องนำเขาให้เขาเชื่อมั่นในคำสั่งของพระเยซูดังนี้ว่า
“จงกลับไปบ้านเรือนของตัวและบอกชาวเมืองถึงเรื่องการใหญ่ซึ่งAdonaiได้ทรงกระทำแก่เจ้า” (ลูกา8.39)
ในประเทศไทยคริสเตียนส่วนใหญ่มาจากศาสนาพุทธ คริสตจักรก็เลยไม่รู้ว่า จะดูแลมุสลิมผู้รับเชื่อท่านอีซาและจะช่วยแก้ปัญหาที่เขาจะพบอย่างไร? เมื่อมุสลิมผู้รับเชื่อใหม่เข้าในคริสตจักร เขาคงจะเจอสภาพที่เขาไม่เข้าใจ เช่น คำศัพท์หลายคำที่ใช้ในคริสตจักรก็มาจากศาสนาพุทธ ก็เลยฟังเทศนาแต่สับสน โปรแกรมของนมัสการที่ใช้ในคริสตจักรตามแบบฝรั่ง ผู้ชายกับผู้หญิงนั่งด้วยกัน แต่งตัวของคนที่มาร่วมนมัสการดูไม่เหมาะตามสายตาของมุสลิม อาหารก็เป็นอุปสรรคสำหรับมุสลิมที่มานมัสการในคริสตจักร มุสลิมถือว่า อาหารที่มีเนื้อหมูเป็น “หารอม” (มลทิน) ซึ่งเป็นสิ่งสกปรก จานที่โดน(ถูกแตะต้อง)อาหารหมูก็ไม่สะอาด แต่คริสเตียนไม่เข้าใจเรื่องนี้ ก็เลยคริสตจักรเตรียมอาหารหมูหมูบ่อย สำหรับมุสลิมที่มาร่วมนมัสการในคริสตจักรก็รู้สึกไม่สะดวก
คริสเตียนส่วนใหญ่ไม่รู้สึกว่า จะช่วยพี่น้องที่มาจากศาสนาอิสลามอย่างไร เขาไม่มีความรู้เกี่ยวข้องกับความศรัทธาและการปฏิบัติของมุสลิม เขาไม่รู้ว่า เมื่อมุสลิมเชื่อท่านอีซา มุสลิมจะเจอปัญหาอะไรบ้าง คำเทศนาของผู้นำในคริสตจักรไม่ได้ช่วยแก้ข้อสงสัยที่มุสลิมสู้ในใจอยู่ ตั้งแต่เป็นเด็ก มุสลิมได้เรียนมาว่า ความบาปที่ใหญ่คือการยกมนุษย์ขึ้นเป็นAdonai เพราะฉะนั้น ในสายตามุสลิมการเคารพนับถือท่านอีซา(พระเยซูคริสต์)ที่เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าก็เป็นบาปใหญ่ สำหรับมุสลิมท่านอีซาเป็นนบีองค์หนึ่งที่ทำอัศจรรย์มากมายและเกิดมาแบบพิเศษ ซึ่งเกิดมาในโลกโดยไม่มีพ่อก็ยอมรับได้ แต่มันไม่ใด้หมายถึงอีซาเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และมุสลิมถือว่า คัมภีร์ไบเบิล (พระคัมภีร์)ของคริสเตียนถูกบิดเบือน คัมภีร์ของอิสลาม ซึ่งอัลกุรอานนั้นเป็นคัมภีร์ของAdonaiที่สมบูรณ์ที่สุด อัลกุรอานประกอบด้วยกับคำที่อัลลอฮฺพูดเท่านั้น แต่คัมภีร์ไบเบิลมีทั้งถ้อยคำของAdonaiและสิ่งที่มนุษย์เขียนเองด้วย ตามมาตรฐานของมุสลิมคัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่ผสมถ้อยคำของAdonaiกับถ้อยคำของมนุษย์ เพราะฉะนั้น คริสเตียนเราต้อศึกษาให้ดีและต้องสามารถยืนยันที่พระคัมภีร์เป็นคัมภีร์ที่มาจากAdonaiอย่างสมบูรณ์ มีอีกหลายข้อที่มุสลิมสงสัยและเป็นอุปสรรคในการตัดสินใจที่จะติดตามอีซาอย่างเต็มที่ แต่คริสเตียนเราไม่พร้อมที่จะช่วยให้ความกระจ่างในเรื่องเหล่านี้ เพราะฉะนั้นคริสเตียนเราต้องศึกษาที่จะช่วยแก้อุปสรรคเหล่านี้
ความเข้าใจผิดที่คริสเตียนมีต่อมุสลิมและศาสนาอิสลามก็เป็นอุปสรรคอีกอย่างหนึ่ง คริสเตียนไทยหลายคนไม่ชอบมุสลิม เขาคิดว่า มุสลิมเป็นพวกหัวรุนแรง เป็นพวกที่เข้ากับคนอื่นยาก คนไทยตามปกติมักคิดว่า มุสลิมเป็นพวกที่เห็นแก่ตัวและสร้างปัญหาในสังคม เพราะเหตุผลเช่นนี้ คริสเตียนไม่สนใจในการประกาศกับมุสลิม เขาคิดว่า การประกาศกับพี่น้องมุสลิมไม่เกิดผล มุสลิมคงไม่สนใจในเรื่องข่าวประเสริฐ ชาวพุทธก็ยังต้องการพระเยซูและการประกาศกับกลุ่มนี้ ง่ายกว่าและจะมีการตอบสนองของชาวพุทธมากกว่าหลายเท่า แต่ถ้าเราคิดอย่างนั้น เราเข้าใจผิดคำสั่งของพระเยซูคริสต์ในมัทธิว 28.19 ในข้อนี้ พระเยซูได้ทรงบัญชาเราว่า “จงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา” ในข้อนี้ พระเยซูได้สั่งชัดเจนว่า ต้องประกาศทุกชนชาติ ไม่ใช่ชนชาติที่ต้อนรับเราเท่านั้น และ กิจการ 1.8 ก็บอกชัดเจนอีกว่า “ท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก” เราต้องออกไปประกาศทุกกลุ่ม ไม่ว่ากลุ่มที่อยู่ในเยรูซาเล็มหรืออยู่ที่สุดปลายแผ่นดินโลกก็ตาม เราไม่มีสิทธิ์เลือก แต่ประกาศกับทุกกลุ่มที่เราพยามได้ คริสเตียนไทยก็เลยต้องรับผิดชอบพี่น้องมุสลิมในประเทศไทยด้วยการประกาศข่าวประเสริฐอย่างเต็มที่
มุสลิมที่รับเชื่อในท่านอีซาก็เป็นเหมือนเด็กทารกฝ่ายวิญญาณ เขาต้องการเลี้ยงให้เติบโตฝ่ายจิตวิญญาณเหมือนคริสเตียนทั่วไป พี่น้องที่มีความศรัทธาเดียวกันต้องดูแลเขาอย่างใกล้ชิด ในการเปลี่ยนชีวิตเก่าและเสริมสร้างชีวิตใหม่ที่เหมาะกับฐานะใหม่ในท่านอีซาก็ต้องใช้เวลา ความคิดและความเข้าใจแบบเก่าก็ต้องเปลี่ยนเช่นกัน เป้าหมายชีวิตก็ต้องเปลี่ยนแปลงตามแบบอย่างของท่านอีซาอัลมะซีห์ ถ้าเขาแต่งงานแล้วนั้น ชีวิตการแต่งงานก็ต้องดีขึ้น การอุทิศชีวิตต้องสอดคล้องกันกับคำสอนของท่านอีซา พี่น้องที่เชื่อท่านอีซามาก่อนก็ต้องติดตามให้ผู้เชื่อใหม่อยู่ในหนทางอย่างถูกต้อง หนุนใจผู้เชื่อใหม่ให้ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลซึ่งเป็นอาหารแห่งชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ หนุนใจให้คนเชื่อใหม่อยู่ในความสามัคคีธรรมกับกลุ่มที่มีความศรัทธาเดียวกัน ไปร่วมประชุมทุกอาทิตย์(หรือวันศุกร์)และร่วมมือให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ถ้าเขาไม่ได้อยู่ในกลุ่มหรือขาดความสามัคคีธรรมระหว่างพี่น้องที่ติดตามอีซาด้วยนั้น เขาคงจะไม่เติบโตได้เลยในฝ่ายจิตวิญญาณ หรืออาจหลงจากAdonaiและกลับไปทางเดิมก็ได้
ปัญหาในการเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณมาจากปัญหา 2 อย่างต่อไปนี้: ปัญหาแรก คือ เขาทำตัวที่สังคมอิสลามยอมรับไม่ได้ เขาอาจจะทิ้งทุกอย่างที่มุสลิมถือ มุสลิมที่เชื่อเหล่านั้นคงจะเจอความกดดันจากสังคมมุสลิม เพราะสังคมมุสลิมเข้าใจผิดว่า การเป็นคริสเตียนหมายถึง การทรยศพี่น้องมุสลิม ทิ้งทุกสิ่งที่สังคมมุสลิมถือ เป็นคริสเตียนแล้ว กินหมู หรือ ไปรวมนมัสการที่ใช้แบบมุสลิมยอมรับไม่ได้ ความจริงAdonaiของมุสลิมกับAdonaiในคัมภีร์ไบเบิลก็เป็นองค์เดียวกัน เพราะฉะนั้น เมื่อคนรับเชื่อความศรัทธาใหม่ในท่านอีซา เขาไม่ต้องทิ้งทั้งหมดในสิ่งที่เขาทำมาตอนเป็นมุสลิม วัฒนธรรมอิสลามส่วนที่คัมภีร์ไบเบิลยอมรับได้นั้นเขาเก็บต่อไปก็ได้ ในการสำแดงความศรัทธาใหม่ในท่านอีซา เขาต้องใช้สติปัญญา เขาจะได้มีโอกาสแนะนำข่าวประเสริฐกับครอบครัวของเขา
แล้วปัญหาอีกอย่างหนึ่ง คือ มุสลิมที่รับเชื่อใหม่อาจกลับไปทางเดิม ซึ่งกลับไปเป็นมุสลิม มันเกิดขึ้นได้เมื่อคนรับเชื่อใหม่ผิดหวังกับพี่น้องคริสเตียน เมื่อมุสลิมรับเชื่อท่านอีซา เขาคาดว่า ชีวิตของพี่น้องคริสเตียนก็สมบูรณ์ แต่เขาจะเห็นว่า คริสเตียนก็ไม่ต่างกันเท่าไร ผู้นำในคริสตจักรก็มีจุดอ่อนเหมือนคนทั่วไป คนติดตามอีซา ไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน มีหลายคณะในศาสนาคริสต์ มุสลิมอาจรู้สึกว่า ความศรัทธาในท่านอีซากับความศรัทธาในอิสลามไม่ต่างกัน เพราะการผิดหวังกับชีวิตคริสเตียนหรือคริสตจักร มุสลิมที่รับเชื่อมาแล้วก็กลับไปชีวิตแบบเดิม
มุสลิมที่เชื่อใหม่ต้องการการช่วยดูแลของพี่น้องทั้งหลายที่เชื่อมาก่อน เขาต้องเรียนรู้ในการเดินกับท่านอีซา และทั้งด้านชีวิตก็ต้องเปลี่ยนแปลง เขาต้องศึกษาพระวจะทุกวัน เขาต้องขยันในการรวมประชุมกับพี่น้อง เขาต้องรู้ว่า หน้าที่ของเขาในครอบครัวและพี่น้องของเขา ซึ่งเป็นพยานที่แนะนำข่าวประเสริฐ เขาต้องระวังในการแสดงความศรัทธาใหม่ในท่านอีซา ชีวิตใหม่ในพระคริสต์ไม่ต้องเป็นอุปสรรคในการประกาศกับพี่น้องของตัวเอง
มุสลิมหลายคนยังอยู่ในความกลัวที่จะตกนรก ไม่มีความมั่นใจที่พระองค์ทรงรับเขาให้ขึ้นสวรรค์ เขาต้องการข่าวประเสริฐมาก Adonaiทรงเตรียมทางที่ทุกคนสามารถขึ้นสวรรค์ได้ในท่านอีซา ที่จะประกาศข่าวประเสริฐกับพี่น้องมุสลิม คริสเตียนเราต้องทุ่มเทในการแนะนำข่าวประเสริฐอย่างเต็มที่ แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น เราต้องช่วยมุสลิมที่เชื่อในท่านอีซาด้วยวิธีที่เหมาะสมกับเขา นำเขาให้อยู่ในสังคมของมุสลิมและให้เป็นพยานกับครอบครัวและชุมชนของเขาด้วย เขาต้องเรียนรู้ที่จะเติบโตขึ้นในการรู้จักท่านอีซา เขาจะได้เป็นพยานในท่ามกลางพี่น้องของเขา เราต้องนำเขาให้เขาเชื่อมั่นในคำสั่งของพระเยซูดังนี้ว่า
“จงกลับไปบ้านเรือนของตัวและบอกชาวเมืองถึงเรื่องการใหญ่ซึ่งAdonaiได้ทรงกระทำแก่เจ้า” (ลูกา8.39)

มุสลิมต้องอ่านเตาร็อดและอินญีล
มีอัลกุรอ่านอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องอ่านไบเบิ้ล เพราะในอัลกุรอ่านก็สอนถึงความเชื่อต่างๆ ที่Adonaiได้ทรงเปิดเผยถึงนบีแต่ละคนในซูเราะฮ์อัลบะกอเราะฮ์ อายะฮ์ที่ 136 ; 285


พวกเจ้าจงกล่าวเถิด เราได้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เรา และสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่อิบรอฮีม และอิสมาอีล และอิสฮัก และยะอ์กุ๊บ และบรรดาวงศ์วานเหล่านั้น และสิ่งที่มูซา และอีซาได้รับ และสิ่งที่บรรดานบีได้รับ จากAdonaiของพวกเขา พวกเรามิได้แบ่งแยกระหว่างท่านหนึ่งท่านใดจากเขาเหล่านั้น และพวกเราจะเป็นผู้สวามิภักดิ์ต่อพระองค์เท่านั้น ร่อซู้ลนั้น (นบีมูฮัมมัด) ได้ศรัทธาต่อสิ่งที่ได้ถูกประทานลงมาแก่เขา จากAdonaiของเขาและมุอ์มินทั้งหลายก็ศรัทธาด้วย ทุกคนศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และมลาอิกะฮ์ของพระองค์ และบรรดาคัมภีร์ของพระองค์ และบรรดาร่อซู้ลของพระองค์ (พวกเขากล่าวว่า) เราจะไม่แยกระหว่างท่านหนึ่งท่านใดจากบรรดาร่อซู้ลของพระองค์ และพวกเขาได้กล่าวว่า เราได้ยินแล้ว และได้ปฏิบัติตามแล้ว
ในซูเราะฮ์อันนิซาอ์ อายะฮ์ที่ 136

ผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และร่อซู้ลของพระองค์เถิด และคัมภีร์ที่พระองค์ได้ทรงประทานลงมาแก่ร่อซู้ลของพระองค์ และคัมภีร์ที่พระองค์ได้ทรงประทานลงมาก่อนนั้น และผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และมลาอิกะฮ์ของพระองค์ และบรรดาคัมภีร์ของพระองค์ และบรรดาร่อซูลของพระองค์ และวันปรโลกแล้วไซร้ แน่นอนเขาก็ได้หลงทางไปแล้วอย่างไกล
ยังมีปรากฏอยู่ในอายะฮ์หลายอา ยะฮ์ และทุกอายะฮ์ขอให้เราทุกคนจงมีความเชื่อ เพราะหลักการสำคัญของพระดำรัสของAdonaiก็คือให้ผู้คนทุกยุคทุกสมัยมีความ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเพราะในไบเบิ้ลได้เก็บรวบรวมไว้ทั้งคัมภีร์เตาร็อต ซ่าบูร อินญีล และเพื่อเป็นการยืนยันความเชื่อ เราควรต้องศึกษาคัมภีร์เหล่านี้เพื่อจะได้รู้ว่าควรจะมีความเชื่ออย่างไร
ในซูเราะฮ์อัลบะกอเราะฮ์ อายะฮ์ที่121 ได้กล่าวไว้ชัดเจนว่า
ในซูเราะฮ์อัลบะกอเราะฮ์ อายะฮ์ที่121 ได้กล่าวไว้ชัดเจนว่า

บรรดาผู้ที่เราได้ให้คัมภีร์แก่พวกเขา โดยที่พวกเขาอ่านคัมภีร์นั้นอย่างจริงๆ ชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่ศรัทธาต่อคัมภีร์นั้น และผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่อคัมภีร์นั้นไซร้ แน่นอนชนเหล่านี้คือผู้ที่ขาดทุน
ในอิสลามยังมีเรื่องราวที่สำคัญอีกมากเกี่ยวกับคัมภีร์ ถ้าพิจารณาดูจะทราบว่าเราจะเห็นหมายสำคัญต่างๆของอัลลอฮ์ที่ได้สำแดงให้มนุษยชาติ ดังนั้นในแต่ละอายะฮ์นั้นจึงมีความสำคัญ เพื่อที่เราจะได้อยู่ในหนทางของอัลลอฮ์ยิ่งไปกว่านั้นในแต่ละอายะฮ์ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า คำตักเตือนจะมีความเคร่งครัดมากเพราะถ้าใครก็ตามที่ได้หันไปจากทางของอัลลอฮ์ ดังที่มีกล่าวในซูเราะฮ์อันนิซาอ์อายะฮ์ที่ 56
แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อโองการทั้งหลายของเรานั้น เราจะให้พวกเขาเข้าไปในไฟนรก คราใดที่ผิวหนังของพวกเขาสุก เราก็เปลี่ยนผิวหนังให้แก่พวกเขาใหม่ซึ่งไม่ใช่ผิวหนังเดิมเพื่อพวกเขาจะได้ลิ้มรสการลงโทษ แท้จริงอัลลอฮ์ เป็นผู้ทรงเดชานุภาพ และทรงปรีชาญาณยิ่ง

แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อโองการทั้งหลายของเรานั้น เราจะให้พวกเขาเข้าไปในไฟนรก คราใดที่ผิวหนังของพวกเขาสุก เราก็เปลี่ยนผิวหนังให้แก่พวกเขาใหม่ซึ่งไม่ใช่ผิวหนังเดิมเพื่อพวกเขาจะได้ลิ้มรสการลงโทษ แท้จริงอัลลอฮ์ เป็นผู้ทรงเดชานุภาพ และทรงปรีชาญาณยิ่ง
ในซูเราะฮ์อัลมาอิดะฮ์ อายะฮ์ที่ 10

และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา และปฏิเสธบรรดาโองการของเรานั้น ชนเหล่านี้แหละคือชาวนรก
ความจริงก็คือไม่พบต้นฉบับเดิมหลงเหลืออยู่เลย ถ้ามีก็ต้องพบ หรือบางทีได้หายไปแล้วก็ได้ อย่างไรก็ตามอัลกุรอ่านสามารถบอกเราได้ว่าคำแปล และคำอธิบายของแต่ละอายะฮ์นั้นได้ถูกบันทึกลงบน ใบปาล์ม เปลือกไม้ กระดูก หรืออื่นๆ ซึ่งเหล่านี้ได้ถูกจารึกไว้โดยวิญญาณบริสุทธิ์ของท่านศาสดาเหล่านั้นทุกชิ้นถูกรวบรวมไว้มากมายเท่าที่จะเก็บไว้ได้ สังเกตว่ารอยจารึกของอัลกุรอ่านที่ถูกบันทึกลงบนวัสดุเหล่านั้น และต่อมาได้มีการค้นคว้าและเปิดเผยตามมาในฮ่าดิษต่างๆ ที่รวบรวมโดย อัล บุคอรีย์ ซอเฮียะฮ์ บนหินสีขาวมีตัวอักษรที่ถูกจารึกไว้เป็นรูปร่าง ปรากฏว่าไม่ใช่ทั้งสองกรณี ไม่มีใครหรือพิพิธภัณฑ์ใดนำสิ่งเหล่านี้มารวบรวมและพิสูจน์ได้ว่ามีปรากฏจริงในต้นฉบับเดิม ถึงแม้ว่าทุกวันนี้ยังเห็นด้วยกับคำแปลต่างๆของกุรอ่าน ในแต่ละยุคสมัยซึ่งยืนยันโดยท่านอีหม่ามอุสมาน . . . หลังจากที่ท่านนบีมูฮัมมัดได้ถึงแก่กรรม มุสลิมเองไม่สามารถพิสูจน์ได้แน่ชัดว่าคำบันทึกของท่านศาสดานั้น สอดคล้องกับฉบับปัจจุบันที่แปล ซึ่งปัญหาก็เหมือนกับคริสเตียนที่ต้นฉบับเดิมสูญหาย และถ้ามุสลิมยอมรับถึงความเป็นไปได้ว่าอัลกุรอ่านปราศจากข้อพิสูจน์จากของเดิม ไม่น่าจะเป็นการยากที่จะยอมรับไบเบิ้ลได้ เพราะอัลกุรอ่านยังได้ยืนยันถึงคัมภีร์เล่มก่อนๆ ซึ่งถ้าเป็นเรื่องจริงมุสลิมไม่ควรที่จะกังวลต้นฉบับเดิม รากฐานของมุสลิมก็คืออัลกุรอ่านมีเสรีภาพในการเชื่อถือกับความสมเหตุสมผลของไบเบิ้ล
No comments:
Post a Comment